วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องเหล้า (เบียร์และไวน์)

เฮ้ย!  กินเหล้ากัน วลีนี้แปลว่า เดี๋ยวเราไปนั่งล้อมวง จะเป็นในร้านหรู หรือบ้านของใครก็ตามแต่
สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มานั่งดื่มกัน ซึ่งอาจจะเป็นได้ตั้งแต่ Black Lable  รีเจนซี (บรั่นดีไทย) เหล้าขาว หรือ เบียร์ เคยสงสัยมั๊ยครับว่า มันแบ่งประเภทยังไง เมื่อไหร่มันจึงจะเป็น วิสกี้ หรือ บรั่นดี หรือ คอนยัค หรือ ไวน์ ......

เรามาทำความรู้จักกับการแบ่งประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามที่ชาวโลกเค้ารู้จักกันดีกว่าครับ

สุราที่เกิดจากการหมัก (Fermented)


เป็นประเภทของเครื่องดื่มชนิดมีแอลกอฮอล์ ที่เกิดจากการหมักเป็นสำคัญ การหมักนั้น (Fermentation) ก็เกิดจากกระบวนการของการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ โดยน้ำตาลนั้นจะได้จากแป้ง หรือผลไม้นั่นคือ เบียร์ (Beer) และไวน์ (Wine)



เบียร์ (BEER)

ประเภทของเบียร์สามารถจำแนกได้ดังนี้


      
      1. ลาเกอร์เบียร์ (Lager beer) ผลิตจากมอลต์ บางครั้งอาจใช้เมล็ดข้าวโพดแทนได้ สีของเบียร์จะไม่เข้ม แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง เมืองไทยมีเบียร์ประเภทนี้มากที่สุดเนื่องจากรสชาติถูกคอคนไทย ผลิตมากในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเบียร์ชนิดนี้ก็  เช่น เบียร์สิงห์ คลอสเตอร์ ไฮเนเกน ช้าง บัดไวเซอร์ คาร์ลส์  เบอร์ก หากลดดีกรีแอลกอฮอล์ลงจะกลายเป็นไลต์เบียร์ เช่น  สิงห์ไลต์ บัดไลต์ ฯลฯ



     2. เอลเบียร์ (Ale beer) เป็นเบียร์ที่่มีสีเข้ม กลิ่นรสเข้มข้น รสขมกว่าเบียร์ลาเกอร์ (lager) ได้จากการหมักข้าวมอลต์ ดอกฮอป น้ำ และอาจมีการเติมข้าวโพดหรือข้าวเจ้า และน้ำตาล แล้วหมักที่อุณหภูมิ 20-21 องศาเซลเซียสด้วยทอปยีสต์ มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าเบียร์ชนิดอื่นคือประมาณ 4.5-6.5 ดีกรี นิยมเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 3-7 องศาเซลเซียส





      3.  สเตาต์เบียร์ (Stout beer) เป็นเบียร์ที่มีสีดำเข้มข้นจัดเป็นเอลเบียร์ประเภทหนึ่ง แต่สเตาต์เบียร์มีรสชาติหวานกว่ามีกลิ่นฉุนของดอกฮอปและมอลต์ชัดเจน เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวอังกฤษ สกอต ไอริช ในเมืองไทยราคาค่อนข้างแพง แต่คอเบียร์มีอายุจะชอบ เพราะเชื่อว่าสเตาต์เบียร์บำรุงสุขภาพมากกว่าเบียร์ประเภทอื่น ๆ





      4. พอร์ตเตอร์เบียร์ (Porter beer) จัดเป็นเอลเบียร์ประเภทหนึ่งแต่กลิ่นของดอกฮอปน้อยกว่า รสชาติคล้ายสเตาต์เบียร์แต่มีรสหวานและมีฟองมากกว่า





      5. บ็อกเบียร์ (Bock beer) มีรสชาติเข้มข้น หวานนำนิด ๆ ในเยอรมนีจะผลิตเบียร์พวกนี้มาก



ไวน์ (Wine)




ไวน์ เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาลในองุ่นแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ไวน์ขาว (White wine) และ ไวน์แดง (Red wine)ไวน์ที่ได้จากการผสมระหว่างไวน์ 2 ชนิดเรียก ไวน์สีกุหลาบ (Rose wine) หรือ ไวน์สีชมพู (Pink wine) ส่วนไวน์ที่มีการอัดก๊าซลงไป จะเรียกว่า สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) สปาร์กลิงไวน์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ แชมเปญ (Champagne)


อุณหภูมิในการเสริฟ์ไวน์ 

ไวน์ขาว (White Wine) และ ไวน์สีกุหลาบ (Rose Wine) ควรเสริฟ์ในขณะที่มี อุณหภูมิระหว่าง 8 - 12 องศา C แต่อย่าให้เย็นจัดจนเริ่มจับเป็นเกล็ด หรือแข็งจน เป็นน้ำแข็ง แชมเปญหรือไวน์ฟอง (Sparkling Wine) อาจเสริฟในอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่าได้ คือ ประมาณ 6 - 8 องศา C  ไวน์แดงอ่อน รสนุ่ม จะต้องเสริฟ ณ อุณหภูมิ ของห้องเก็บไวน์มาตรฐาน (Cellar) ประมาณ 10 - 12 องศา













การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิรฟ์ไวน์ขาว 
  • เสิร์ฟเย็นจัดจนเกินไป หรือกลายเป็นน้ำแข็ง 
  • แช่เย็นไว้ในตู้เย็นนานกว่า 2 ชั่วโมง 
  • แช่ไวน์ไว้ในช้องทำน้ำแข็ง 
  • ใส่น้ำแข็งในไวน์ 

การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิร์ฟไวน์แดง 
  • อุ่นให้ร้อนจนเกินไป 
  • ใส่ขวดไวน์ไว้ในหม้อน้ำร้อน


ลำดับในการเสริฟ

  • ไวน์รสไม่หวาน ก่อน ไวน์หวาน 
  • ไวน์ขาว ก่อน ไวน์แดง 
  • ไวน์แดง ก่อน ไวน์ที่มีรสหวาน 
  • และไวน์ใหม่ ก่อน ไวน์ที่เก็บบ่มไว้หลายปี 

มารยาทการจิบไวน์

       ไม่จับไวน์ที่ตัวแก้ว “สิ่งที่ไม่ควรทำเลย คือ จับตัวแก้วไวน์ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาว ไวน์แดง หรือแม้แต่แชมเปญ เพราะอุณหภูมิความร้อนของมือเรา จะไปให้ไวน์เสียรสได้ ทั้งยังดูเป็นการเสียมารยาทด้วย การจับที่ถูกต้องคือ ให้จับตรงก้านแก้ว ทั้งนี้การจับที่ตัวแก้ว แบบนั้นเหมาะจะใช้ในการจับแก้วบรั่นดี เหตุผลคือ พวกเหล้าบรั่นดีนิยมดื่มแบบอุ่นๆ บรั่นดีบางตัว เด็กเสิร์ฟถึงกับต้องวอร์ม (warm) เพื่อให้แก้วอุ่น แล้วจึงรินบรั่นดีลงไป เพื่อที่จะให้บรั่นดีหอมละมุนอยู่ในคอ และได้รสชาติดียิ่งขึ้น
       
       ปล่อยให้เจ้าภาพเลือกไวน์ ตามมารยาทแล้ว หากคุณไม่ใช่เจ้าภาพ ควรปล่อยให้เจ้าภาพเลือกไวน์เอง แต่หากคุณเป็นเจ้าภาพ หรือเป็นคนที่เจ้าภาพให้เกียรติคุณเป็นผู้เลือกไวน์ Wine Sommerlier หรือผู้แนะนำไวน์ จะเอาไวน์มาให้คุณชิม และตัดสินใจ ซึ่งโดยมารยาทการชิมไวน์นั้น ควรให้ผู้เลือกเป็นผู้ชิมไวน์เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ควรที่จะขอให้คนอื่นร่วมชิมเพื่อช่วยตัดสินใจ
       
       ให้ Wine Sommerlier ช่วยแนะนำ หลักง่ายๆ หากคุณไม่ชำนาญเรื่องไวน์ แล้วต้องเป็นเจ้าภาพ หรือผู้เลือกไวน์คือ ขอให้ Wine Sommerlier เป็นผู้แนะนำ โดยคุณอาจบอกความต้องการว่า อยากได้ไวน์แบบไหน เช่น ไวน์แดงรสเข้ม หรือไวน์ขาวที่ดื่มง่าย เพื่อให้ Wine Sommerlier เสนอแนวทาง และแนะนำไวน์ได้ตรงตามความต้องการของคุณ
       
       ผู้เลือกไวน์ จะได้รับการรินไวน์ คนสุดท้าย เมื่อชิมและตัดสินใจสั่งแล้ว Wine Sommerlier จึงจะนำไวน์มาเสิร์ฟ โดยจะเริ่มเสิร์ฟจากคนอื่นๆ ในโต๊ะก่อน บางแห่งอาจเสิร์ฟผู้หญิงในโต๊ะให้ครบทุกคนก่อน แล้วค่อยเสิร์ฟผู้ชายท่านอื่นในโต๊ะ เมื่อครบทุกคนแล้วจึงมาเสิร์ฟคนเลือกไวน์ พูดง่ายๆ คือ คนที่เลือกไวน์จะได้รับการรินไวน์เป็นคนสุดท้ายในโต๊ะเสมอ
       
       แกว่ง-ดูขาไวน์ ควรแกว่งแก้วไวน์เบาๆ ให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ เพื่อให้ไวน์พัฒนาตัวเองได้มากขึ้น จากนั้นหากเชี่ยวชาญสักหน่อย อาจมองเพื่อดูสีและขาไวน์ (ลักษณะการเคลื่อนตัวลงมาของไวน์ เมื่อเขย่าแก้วแบบหมุนวนแล้ว) นักดื่มไวน์ที่เชี่ยวชาญบางท่านแค่เพียงดูขาไวน์ ก็จะรู้ถึงอายุของไวน์ รวมถึงรู้ว่า ไวน์นั้นๆ มีปริมาณน้ำตาลอยู่มากน้อยแค่ไหน ถ้าไหลเร็วจะแสดงว่า น้ำตาลไม่เยอะ เพราะมีความหนืดน้อย น้ำตาลน้อย นั่นคือ ยังเป็นไวน์สดๆ บ่มไม่นาน รสชาติจะออกเปรี้ยว เป็นต้น 
       
       สูดกลิ่นหอม ก่อนจิบทีละนิด ก่อนจิบไวน์ ควรสูดกลิ่นหอมของไวน์ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ จิบ พร้อมอมไว้ในปากสักครู่ก่อนกลืน เพื่อให้ได้ทั้งกลิ่น และรสชาติของไวน์อย่างเต็มที่


ตัวอย่างไวน์แดงที่ได้รับความนิยม


Barolo - อิตาลี
Brunello di Montalcino - อิตาลี
Beaujolais - ฝรั่งเศส
Rioja - สเปน
Zinfandel - แคลิฟอร์เนีย













ตัวอย่างไวน์ขาวที่ได้รับความนิยม



Chardonnay - ฝรั่งเศส 
Chablis - ฝรั่งเศส
Frascati - อิตาลี
Liebfraumilch - เยอรมัน













ตัวอย่างสปาร์กลิ้งไวน์ที่ได้รับความนิยม




Asti spumante - อิตาลี
Cava - สเปน
Champagne - ฝรั่งเศส
Franciacorta - อิตาลี
Sekt - เยอรมัน
Sparkling wine – แคลิฟอร์เนีย 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น